รีวิว ขุนบันลือ

เข้าฉายส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในโรงภาพยนตร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ ขุนบันลือ ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ หม่ำ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หลังจากห่างหายไปนานกว่า 4 ปี นับจาก ทาสรักอสูร (2014) งานนี้ก็เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้จะสามารถทำรายได้เทียบเท่าผลงานของลูกสาว เอ็ม บุษราคัม จาก ส่มภัคเสี่ยน (2017) ในแนวตลกที่กวาดรายได้ทั่วประเทศทะลุ 100 ล้านบาทได้หรือไม่

ขุนบันลือ ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัย รศ.๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) เมื่อ ขุนบันลือ ได้รับมอบหมายให้ไปราชการที่เมืองเชียงราย แต่ขุนบันลือเองกลับกังวลใจ เพราะถูก มด ทาสหญิงที่ขุนบันลือแอบมีความสัมพันธ์ด้วยจับได้ว่าท่านขุนเคยมีซัมติงกับซัมวันที่เมืองเชียงรายมาก่อน รวมถึงความชุลมุนวุ่นรัก เมื่อเพื่อนรักของท่านขุนพาลูกสาวลูกชายมาฝากให้ช่วยดูแลระหว่างที่ไปราชการต่างประเทศ และทั้งคู่กลับมีเรื่องชอบพอกับบรรดาทาสในเรือนท่านขุนซะอีก เรื่องราวความรักระหว่างชนชั้นจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

เรียกว่าการกลับมากำกับและพ่วงตำแหน่งนักแสดงนำของ หม่ำ เพ็ชรทาย ครั้งนี้เรื่องราวของหนังก็ยังคงเป็นความตลกโปกฮาที่เป็นจุดขายของเจ้าตัวเหมือนเดิม คราวนี้ได้หยิบเอาเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับการนอกใจภรรยาไปมีเมียน้อยเชียงรายที่แก๊งตลกสามช่าอำกันจนหลายคิดว่าเป็นเรื่องจริงมาปรับเป็นบทภาพยนตร์หวังให้แฟนๆ ได้ฮากัน พร้อมด้วยการพาบรรดาคนในครอบครัวทั้งภรรยา ลูกชาย และน้องชายมาร่วมแสดง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้สร้างความสนุกเฮฮากันท้องคัดท้องแข็งได้มากอย่างที่คาดหวังไว้

ด้วยมุกตลกที่ปรากฏอยู่ในหนังนั้นไม่ได้มีความแปลกใหม่เลย ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเห็นมุกเหล่านี้ในโชว์ตามรายการต่างๆ หรือภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของ หม่ำ เพ็ชรทาย จังหวะในการตบส่งมุกรวมก็ดูธรรมดาสร้างเสียงฮาได้เพียงน้อยนิดพอได้ขำในลำคอ ในส่วนของพล็อตเรื่องที่ดูเหมือนจะน้ำเน่าอารมณ์คล้ายละครย้อนยุคสมัยก่อน แม้จะมีการแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาเป็นช่วงๆ ก็ไม่ได้ทำให้หนังน่าสนใจมากขึ้น ดูๆ ไปก็แอบเบื่อเล็กน้อย และเชื่อว่าหลายคนน่าจะเดากันออกและมันก็ไม่สร้างเสน่ห์อย่างที่ควรจะเป็นเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตั้งความหวังเพื่อที่จะไปสนุกเฮฮากับ ขุนบันลือ นั้นช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร เหตุผลก็ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าหนังค่อนข้างจะซ้ำซาก แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรมากหวังดูเอาแค่เพลินๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะบางครั้งบางเรื่องราวก็อาจจะทำให้คนเราหัวเราะได้ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้